วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

หนองคาย ปราชญ์ชุมชนผู้สืบทอดการทำพิณเครื่องดนตรีพื้นบ้านก่อนสูญหาย


พิณ เครื่องดนตรีพื้นบ้านที่นับวันจะกลายเป็นตำนาน ที่คนรุ่นใหม่คิดว่าเป็นเครื่องดนตรีล้าหลังแต่ปราชญ์ชุมชน ศิลปินผู้รักหลงใหลเสียงพิณมาตั้งแต่วัยเยาว์วัย ยังคงสืบสานศิลปวัฒนธรรมถ่ายทอดความรู้ด้านพิณให้กับผู้สนใจ และทำพิณขายเป็นที่ยอมรับมานานกว่า 30 ปี  ตั้งปณิธานจะทำพิณไปเรื่อย ๆ แม้จะไม่มีผู้ซื้อ ตั้งเป็นศูนย์ถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านพิณให้กับคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และอนุรักษ์ให้คงอยู่ ก่อนที่จะเลือนหายไป

“เมื่อได้ยินเสียงพิณ เสียงแคน อยากร้อง อยากรำ” เป็นคำพูดของนายทองขัน  พาไสย์  อายุ 75 ปี ชาวบ้านบ้านกองนาง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย  ที่ได้เล่าเรื่องราวตั้งแต่วัยเยาว์ว่า ชอบเสียงพิณ  เสียงแคนตั้งแต่อายุ 13 ปี พ่อให้ไปเลี้ยงควาย ได้ฟังคนแก่เขาดีดพิณเพลง ลายต้อนวัวขึ้นภูเขานั่งฟังเพลงจนควายไปกินต้นข้าวของชาวบ้านเพราะรักหลงไหลในเสียงพิณ  เมื่อปี พ.ศ. 2528 ได้ไปชมการแสดงดีดพิณของ อ.ทองใส ทับถนน วงเพชรพิณทอง เล่นพิณลายต้อนวัวขึ้นภูเขาอีกครั้ง ยิ่งฟังยิ่งชอบตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะทำพิณ ตื่นขึ้นมาได้ไปตัดต้นขนุน มาทำพิณในวันเดียวเสร็จ ออกแบบเองไม่มีคนสอน จากนั้นมาหัดดีด ไม่รู้โน้ต จึงไปหาผู้ชำนาญในดนตรีพิณให้ตั้งเสียงพิณให้ อาศัยจำเสียง ดีดไปดีดมาจนเป็น  ซึ่งเริ่มทำพิณครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2528 จำนวน 6 ตัว ขาย 3 ตัวแจกฟรี 3 ตัว จากนั้นก็จะออกเล่นพิณออกงานบุญต่าง ๆ ภายในหมู่บ้านได้ และทำพิณเป็นอาชีพมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530  ซึ่งครูพิณทั่วประเทศต่างยอมรับในเสียงพิณที่ไพเราะ กังวาน ความละเอียดในงานฝีมือ และเอกลักษณ์รูปหัวพญานาคที่ออกแบบเอง จนจดลิขสิทธิ์ประทับตราทุกชิ้นงาน  เป็นผู้ผลิตพิณให้กับนักเล่นพิณมืออาชีพของเมืองไทยมาตลอดกว่า 30 ปี  จนได้ฉายาว่า ตำนานพิณแห่งลุ่มน้ำโขง เมืองหนองคาย

ลุงทองขันฯ กล่าวว่า พิณสมัยก่อนชาวพื้นบ้านอีสานจะเรียกว่า บักกะจับปี่ หรือบักกะจับต้ง   สำหรับไม้ที่ใช้ทำพิณ จะมีไม้ต้นขนุน ต้นสะเดาและต้นกระท้อน ซึ่งชาวบ้านนำไม้ดังกล่าวมาขาย  ระยะเวลาการทำพิณแต่ละตัวจะใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์  จึงจะสำเร็จโดยจะทำพิณ 2 ประเภท คือ พิณธรรมดา และพิณไฟฟ้า จะมีราคาตั้งแต่ 1,600-10,000 บาท การทำพิณแต่ละตัวจะต้องอาศัยประสบการณ์ ความชำนาญในการเป็นช่างไม้ มีความพยายามและใจรัก ส่วนหัวของพิณจะเป็นรูปพญานาครูปใบโพธิ์เสี้ยวซึ่งออกแบบเอง พิณแต่ละตัวจะมีตราประทับลิขสิทธิ์บนตัวพิณด้านหลัง  ซึ่งแต่ละเดือนจะมีรายได้จากการจำหน่ายพิณ 8,000-10,000 บาท บางเดือนจะมีร้านค้าสั่งซื้อครั้งละ 10 ตัว  โดยพิณตัวแรกของตนมีคนสนใจขอซื้อให้ราคาสูงแต่ไม่ขายยังเก็บรักษาไว้  พิณแต่ละตัวถือเป็นสิ่งมงคลทุกครั้งที่มีผู้มาซื้อไปตนจะทำพิธีตามความเชื่อก่อนให้ไป ส่วนการทำพิณก็จะทำไปเรื่อย ๆ แม้จะไม่มีคนซื้อก็ตาม

 ปัจจุบันบ้านของลุงทองขันฯ ได้เปิดเป็นศูนย์เรียนรู้ให้กับผู้ที่สนใจในเครื่องดนตรีพื้นบ้าน  ได้มาดูวิธีการทำพิณและมาศึกษาเรียนรู้  ซึ่งบางครั้งมีหน่วยงานเชิญไปเป็นวิทยากร ครูพิเศษ ลุงทองขันจะมีวิธีการสอนที่ไม่เหมือนใคร คือใช้วิธีสอนด้วยนิ้วจำเสียงเป็นหลักการสอน มีลูกศิษย์หลายรุ่น  แต่ช่วงหลังคนรุ่นใหม่ไม่นิยมเพราะคิดว่ามันล้าหลัง   แต่ลุงทองขันฯ ก็ยังทำพิณขายเช่นเดิม และตั้งปณิธานว่า จะสืบสานเครื่องดนตรีพื้นบ้านนี้ไว้ จะถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีอยู่เกี่ยวกับพิณ ให้ผู้ที่สนใจได้เรียนรู้ และจะอนุรักษ์ไว้ตลอดไป


จากความพยายามจนประสบผลสำเร็จ ในการสืบทอดและอนุรักษ์พิณเครื่องดนตรีพื้นบ้านมานานตลอดชีวิต  จนได้รับการยกย่องเป็นปราชญ์ชุมชนด้านพิณ รางวัลผลิตภัณฑ์ดีเด่น   รางวัลจัดทำพิณ ระดับสี่ดาว ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อปี พ.ศ. 2546 - 2547  และศิลปินดีเด่นจังหวัดหนองคาย สาขา ศิลปะการแสดง ปี พ.ศ. 2548  เป็นเครื่องยืนยันคุณภาพของลุงทองขัน พาไสย์  ตำนานพิณแห่งลุ่มน้ำโขง จังหวัดหนองคาย